xml sitemap generator


องค์หลวงพ่อโสธร 
นี่ก็ผ่านเรื่องราวของน้องปัน ปัน เกี่ยวกับหน้าผากแตกมาตอนเช้าเราสามคนก็เดินทางกลับโคราชกัน แต่ช่วงที่เดินทางกลับ ก็ได้พาน้องปัน ปัน ไหว้หลวงพ่อโสธรครับ ซึ่งก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่พ่อปัน ปัน ภูมิใจเสนอครับ


หลวงพ่อโสธร

เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าครับเพราะแม่ปัน ปัน เตรียมของไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ใช้เส้นทางสาย 36 ระยอง-ชลบุรี ผ่านเข้ามอเตอร์เวย์ครับ หลังจากถึงจุดพักภายในมอเตอร์เวย์ ก็เตรียมตัวเลี้ยวซ้ายเพื่อไป “ฉะเชิงเทรา” และวัดหลวงพ่อโสธร กันต่อไป


น้องปัน ปัน ไหว้หลวงพ่อโสธร
 
วัดหลวงพ่อโสธรนี้พ่อปัน ปัน จำไม่ได้ว่าเดินทางมาแล้วกี่ครั้งแต่ว่าในแต่ละครั้งก็ไม่มีความเบื่อเลยครับ สำหรับครั้งนี้ก็ได้พาน้องปัน ปัน มาไหว้ด้วย เพราะสัญญาญกับแม่ปัน ปัน ไว้นานแล้วว่าถ้าน้องปัน ปัน โตขึ้นมาหน่อยเดินได้ก็จะพาน้องปัน ปัน มาไหว้หลวงพ่อโสธรครับ

น้องปัน ปัน พอเข้าไปในโบสถ์หลังใหม่ได้ก็นั่งไหว้เสร็จก็จะเดินสำรวจไปทั่วเลยครับ เพราะว่าช่วงที่พาน้องปัน ปัน ไปไหว้นั้นเป็นวันพุธ ซึ่งคนที่ไปไหว้ยังไม่ค่อยมากครับ เลยสะดวกสบายหน่อยครับ เรียกได้ว่าถ่ายรูปแบบสบายๆ เลยครับ น้องปัน ปัน ก็เดินเล่นแถวๆนั้นแบบสบายใจมากครับ


น้องปัน ปัน หิวนมแล้วครับ 

พ่อปัน ปัน เก็บภาพต่างๆ ของวัดหลวงพ่อโสธรมาฝากด้วยครับเพื่อเป็นไกด์สำหรับผู้ที่ต้องการจะไปไหว้ครับ แต่ว่าขอบอกครับ ถ้าเราไปวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ คนจะเยอะมากเลยครับแต่ก็สนุกไปอีกแบบครับ


ปัน ปัน ยืนกินนม
อีกหนึ่งมุมุมองในการกินนมของน้องปัน ปัน ครับหลังจากที่วิ่งเล่นจนเหนี่อยแล้วก็มานั่งและยืนกินนม ตามประสาเด็กๆ เล็กครับ

กว่าที่เรา 3 คนจะเดินทางต่อไปยังโคราชก็ปาเข้าไปประมาณเกือบบ่าย 2 โมงแล้วครับเพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปอีกประมาณ 2-3 ชม.ครับกว่าจะถึงโคราชเพราะพ่อปัน ปัน ขับรถไม่เร็วครับ

ถึงโคราชประมาณ 4 โมงครึ่งครับน้องปัน ปัน ก็ได้นอนพักผ่อนบนรถมาแล้วพอมาถึงบ้านคุณยายเลยได้วิ่งเล่นต่อไปเลย เรียกได้ว่าไม่เสียเวลาในการเล่นของน้องปัน ปัน เลยครับ น้องปัน ปัน กลับมาบ้านยายก็ดีใจใหญ่เลย วิ่งไปหาคนโน่นคนนี้ทีครับ เพราะมาอยู่กับพ่อปัน ปัน หลายวันครับ

สำหรับวัดหลวงพ่อโสธรพ่อปัน ปัน แนะนำให้ไปไหว้ครับ เพราะนอกจากจะเป็นสิริมงคลแก่ตนเองแล้วก็ยังได้ไปเที่ยวดูบ้านเมืองของ “ฉะเชิงเทรา” ครับพ่อปัน ปัน แนะนำครับที่นี่อาหารอร่อยๆ หลายร้านครับ เพราะมีแม่น้ำบางปะกงไหลผ่านครับ ทำให้มีอาหารเกี่ยวกับปลาเยอะแยะครับ อีกอย่างที่นีถ้าเป็นอาหารเกี่ยวกับปลาต้องยกนิ้วให้คนจีนครับรับรองอร่อยครับ


น้องปัน ปัน หน้าผากแตก

เรื่องนี้เกิดการความประมาทของพ่อปัน ปัน ครับที่ดูแลน้องปัน ปัน ไม่ดีเองเลยต้องทำให้น้องปัน ปัน หน้าผากแตก เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่เรากลับมาจากเที่ยว “แหลมแม่พิมพ์” ในวันที่ 16 กพ. ผ่านมา

น้องปัน ปัน กำลังกระโดดเล่นอยู่ในห้องนอนกับพ่อปัน ปัน เพียงแต่พ่อปัน ปัน แกล้งน้องปัน ปัน ว่ากำลังนอนหลับอยู่ซึ่งก็ทำให้น้องปัน ปัน ก็เข้าใจว่าพ่อปัน ปัน หลับอยู่จึงลุกขึ้นกระโดดลงจากที่นอนเพื่อที่จะมาเล่นกับพ่อปัน ปัน แต่บังเอิญว่าที่นอนมันสูงประมาณ 1 ฟุต (ที่นอนมาตราฐานทั่วๆไป)

เกิดหกล้มอย่างแรงหน้าผากไปกระแทกกับเหลี่ยมเสาที่มีความคมเข้า เท่านั้นแหล่ะครับเป็นเรื่องเลย น้องปัน ปัน ร้องจ๊ากเลยครับเพราะหน้าผากแตก ร้องอยู่ตั้งนานเพราะแผลลึกพอสมครวครับแถวยังมีความยาวเสียด้วย

พ่อกับแม่ปัน ปัน ก็เลยต้องพาน้องปัน ปัน ไปที่โรงพยาบาลทันที่กว่าจะไปถึงก็เป็นเวลาประมาณ 19.30น เข้าไปหมอแล้วครับและต้องไปที่แผนกฉุกเฉินทันที่ครับ ตอนนี้น้องปัน ปัน ก็ยังร้องอยู่ครับเพราะว่าคงเจ็บมากครับ ไปถึงต้องรอหมอกลับมาจากตรวจไข้เสียก่อนครับ เรียกได้ว่านั่งรอแบบใจจดใจจอเลยก็ว่าได้ครับ

กว่าที่หมอจะเย็บแผลให้น้องปัน ปัน ก็ตกเกือบ 2 ทุ่มครึ่งและเย็บทั้งหมด 4 เข็มด้านในเย็บ 1 เข็มด้านนอกเย็บ 3 เข็ม น้องปัน ปัน ก็เอาแต่ร้องครับเพราะหมอไม่ให้พ่อและแม่ปัน ปัน เข้าไปวุ่นวายครับ เพราะจะกลัวว่าทำใจไม่ได้ครับ พอเย็บเสร็จพยาบาลก็มาเรียกพ่อปัน ปัน ให้ไปดูน้องปัน ปัน

พอน้องปัน ปันเห็นพ่อก็หยุดร้องครับ ก็เลยอุ้มออกมาเตรียมจ่ายค่ายาครับ สำหรับค่าใช้จ่ายครั้งนี้อยู่ที่ 3,383 บาท ครับนอกจากนั้นหมอยังจ่ายยาฆ่าเชื้อมาด้วยครับ พวกเราสามคนเดินทางกลับมากึงบ้านก็ประมาณ 3 ทุ่มครึ่งครับน้องปัน ปัน ก็นอนหลับไปแล้วครับคงร้องจนเหนี่อย

คุณหมอนัดให้ไปล้างแผลทุกวันครับเพราะเป็นแผลสด และห้ามให้แผลโดนน้ำเพราะอาจทำให้แผลเน่าได้ครับ สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องทำให้พ่อปัน ปัน เสียใจที่ไม่ดูแลน้องปัน ปัน ให้ดีเรียกได้ว่าประมาทเลินเล่อครับ เพราะโดยปกติพ่อปัน ปัน จะไม่ปล่อยให้น้องปัน ปัน ห่างเลยก็ว่าได้ครับ

พ่อปัน ปัน ขอฝากเตือนเพื่อนๆ ที่มีลูกในวัยเดียวกันกับน้องปัน ปัน โดยเฉพาะเด็กผู้ชายอย่างน้องปัน ปัน เพราะเป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ อีกทั้งอยู่ในวัยซนด้วยครับ ชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆ เราที่เป็นผู้ใหญ่ต้องให้ความระมัดระวังอย่างมากครับจะได้ไม่เสียใจในภายหลังครับ

วันนี้พ่อปัน ปัน นำสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง มาแนะนำครับซึ่งนอกจากเกาะเสม็ด ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของทุกๆคน

น้องปัน ปัน เคยมาเที่ยวจังหวัดระยองแล้วครับ และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที 3 แล้วที่ปัน ปันมาเที่ยวบ้านของพ่อเอกครับ สถานที่พ่อปัน ปัน พาน้องปัน ปัน ไปเที่ยวก็คือ “แหลมแม่พิมพ์” ซึ่งเรา 3 คนออกเดินทางกันตอนประมาณ 15.00น ระยะทางจากบ้านพักไปทีแหลมแม่พิมพ์ก็ประมาณ 35 กิโลเมตรครับ

IMG_2300  
รูปนนี้น้องปัน ปัน กำลังสนุกกับการเล่นทรายครับ ตามประสาของเด็กๆ ที่เจอสิ่งใหม่ๆ ซึ่งช่วงแรกๆ น้องปัน ปัน ก็ไม่กล้าถอดรองเท้าครับ แต่พอได้สัมผัสกับพื้นทรายแบบเต้มก็ชอบครับ

IMG_2307

ของเล่นอีกชิ้นหนึ่งที่พ่อปัน ปัน ซื้อจากบริเวณแหลมแม่พิมพ์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการกระจายรายได้สู่ชุ่มชนครับ

IMG_2312

รูปนี้เป็นบรรยากาศของแหลมแม่พิมพ์ในวันทำงานปกติซึ่งไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งถ้าเป็นวันหยุดก็จะมีคนจากต่างถิ่นมาเที่ยวกันอย่างมากมายครับ

IMG_2314

บรรยากาศอีกหนึ่งมุมมองของแหลมแม่พิมพ์ครับ ตามหาดทรายจะมีห่วงยางไว้คอยบริการให้นักท่องเที่ยวได้เช่าหากันครับ

IMG_2317

รูปนี้เป็นตอนเย็นๆ ก่อนที่จะพาน้องปัน ปัน กลับบ้านพักครับ เป็นมุมหนึ่งของแหลมแม่พิมพ์ในยามเย็นครับ

IMG_2326

รูปนี้พ่อปัน ปัน มือไวกดซัตเตอร์พอดีครับ พี่เค้าคงกำลังค้นหาอะไรซักอย่างครับ ซึ่งอาจจะพบเห็นได้ทั่วๆ ไปตามชายหาดแหล่งท่องเที่ยวของไทยครับ

IMG_2334

เห็นรูปนี้แล้วคงเดากันได้นะครับว่าน้องปัน ปัน กำลังต้องการจะไปที่ไหน หลังจากเล่นทรายจนเบื่อแล้วก็เตรียมจะไปเล่นน้ำทะเลครับ

IMG_2336

รูปสุดท้ายครับกำลังสนุกกับการเล่นน้ำครับ พ่อปัน ปัน เล่นต้องเอากล้องคู่ใจไปเก็บแล้วก็มาพาน้องปัน ปัน ไปเล่นน้ำทะเลครับ ต้องขอเตือนผู้ปกครองนะครับเวลาไปเล่นน้ำทะเลกับเด็กๆ ต้องระวังเป็นพิเศษอย่าประมาทเด็ดขาดครับ เพราะทะเลเราไมสามารถคาดเดาได้ครับว่าอะไรจะเกิดขึ้น

วันนี้ส่วนมากจะเน้นเรื่องรูปเป็นพิเศษครับ บางครั้งตัวหนังสือหลายร้อยตัวอักษรก็ไม่เท่ากับรูปภาพเพียงรูปเดียวครับ พ่อปัน ปัน ขอแนะนำครับสำหรับท่านใดที่ต้องการมาเที่ยวทะเลแถบตะวันออกก็ครวจะมาในช่วงนี้ครับจนถึงต้นเดือน พค ครับเพราะทะเลจะสวยมากครับ น้ำใสเขียวมรกตครับ แต่ถ้าเลยช่วงนี้ไปก็จะเป็นหน้าฝนก็ไม่น่าเที่ยวแล้วครับ เพราะน้ำทะเลจะดำและอันตรายครับ

วัยกรี๊ด

เขียนโดย akekoksom | 23:25 | 0 ความคิดเห็น »


 วัยกรี๊ด  

พูดถึงเรื่องกรี๊ด…ดดด ถ้าใช้ผิดที่ผิดเวลากคงไม่เหมาะสม แต่สำหรับวัยเด็กๆ อย่างน้องปัน ปัน เป็นการบ่งบอกว่าเป็นพัฒนาการของเด็กขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งนะครับ เพื่อที่จะบอกให้ผู้ใหญ่รู้ว่าตัวเค้าเองมีพลังนะครับ

พ่อปัน ปัน และแม่ปัน ปัน ได้เจอกับตัวเองครับถึงเหตุการณ์ที่ลูกชาย ร้องกรี๊ดๆ เวลาที่ต้องสิ่งขออะไร ก็ตามหรือแม้แต่เวลาไม่ได้สิ่งใดๆ ทันใจก็จะกรี๊ดครับ ซึ่งบางครั้งเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ที่เป็นพี่เวลาปัน ปัน หัวเราะดีใจแบบสุดๆ ก็ยังกรี๊ดเลยครับ

พ่อปัน ปัน กำลังจะบอกว่าเด็กในวัยขนาดน้องปัน ปัน ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้นั่นเอง ยังแยกแยะไม่ออกว่า กรี๊ดเสียงดังๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเค้ายังสื่อสารด้วยคำพูดให้เราเข้าใจยังไม่ได้ เลยต้องหาวิธีพัฒนาเพื่อจะสามารถสื่อสารกับเราได้ สำหรับพ่อแม่ท่านใดที่กำลังมีลูกอยู่ในวัยเดียวกันกับน้องปัน ปัน พ่อปัน ปัน นำวิธีรับมือกับเด็กในวัยกรี๊ดมาฝากครับ


วิธีรับมือกับเด็กในวัยกรี๊ด
1. อิสระในการเรียนรู้
ไม่ได้หมายความว่าให้ตามใจลูก แต่เด็กวัยนี้คือวัยที่กำลังเรียนรู้ ชอบสำรวจ บางครั้งด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นพ่อแม่อาจห้ามไม่ให้เล่นบ้าง ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ควรดูเขาอยู่ห่างๆและให้เขาลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะหากพ่อแม่ไปห้ามลูกบ่อยๆซึ่งในบางครั้ง เขาสามารถเล่นเองได้ และไม่อันตรายนั้น เมื่อโตมาเขาจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง

2. วางเฉย เมื่อลูกเริ่มกรี๊ด โดยส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่ก็จะสั่งให้หยุดเดี๋ยวนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว พ่อแม่ควรอยู่เฉยๆ อย่าไปทำตามข้อเรียกร้องของลูก มิเช่นนั้นเมื่อเขาอยากได้อะไรเขาก็จะใช้วิธีนี้ในการเรียกร้องความต้องการ

แม้ว่าในบางครั้งเสียงกรี๊ดมากๆ ของลูก อาจทำให้พ่อแม่เกิดอาการปี๊ด…ดดด ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เหมือนกัน บางทีก็อยากตัดความรำคาญหรืออาจจะเกรงใจคนรอบข้างเวลาที่พาออกไปข้างนอก ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ต้องใจแข็งพอสมควร เด็กๆร้องไปสักพักก็จะเหนื่อย เมื่อรู้ว่าเราไม่สนใจด้วยแล้ว เดี๋ยวก็หยุดร้องกรี๊ดได้เอง

3. เหตุผล ไม่ว่าลูกจะร้องกรี๊ดเพราะสาเหตุอะไรก็ตาม พ่อแม่ต้องพูดกับลูกด้วยเหตุผล การร้องเพราะถูกขัดใจ ก็ต้องบอกลูกว่าถ้าอารมณ์ดีๆ แล้วค่อยมาคุยกัน ซึ่งคุณแม่ต้องทำแบบนี้ให้สม่ำเสมอ อย่าทำบ้างไม่ทำบ้าง เพราะลูกจะสับสน

4. สื่อสารกับลูกให้เยอะๆ บางครั้งที่ลูกอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่ยังไม่สามารถอธิบายบอกได้ คุณแม่ใช้วิธีถามนำว่าลูกอยากได้อะไร จะเอาของเล่นเหรอ จะกินน้ำเหรอ อะไรทำนองนี้ เพราะลูกจะได้สื่อสารกับเราได้ง่ายขึ้น และเป็นการฝึกให้ลูกได้พูดไปด้วยในตัว โดยใช้คำพูดง่ายๆ กระชับ ถ้าพูดยาวจนเกินไปเจ้าตัวเล็กอาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสารด้วย ต่อไปเขาก็จะรู้จักพูดคุยกับเรา ไม่ใช่วิธีการกรี๊ดแน่นอน

5. ชื่นชม ถ้าสิ่งไหนที่ลูกทำแล้วเป็นสิ่งดี ก็อย่าลืมหยอดคำชมรอยยิ้ม หรือแสดงอาการให้เขาเห็นว่าคุณพอใจมากๆ ที่เขาทำสิ่งที่ดีๆ ลูกก็จะเรียนรู้และอยากทำในสิ่งที่พ่อแม่ชื่นชม

6. แบบอย่าง เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือการที่พ่อแม่ต้องเริ่มต้นเป็นแบบอย่างที่ดีก่อน เพราะเด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมได้เร็วมาก หากแม่ไม่พอใจแล้วโมโหเกรี้ยวกราดใส่ลูก ลูกก็จะกรี๊ดเหมือนที่แม่ทำ

7. ได้และไม่ได้ พ่อแม่จะต้องสอนให้ลูกรู้จักคำว่าได้และไม่ได้ เพื่อให้ลูกเรียนรู้ในเรื่องของความสมหวังและผิดหวังซึ่งควรมีเหตุผลกำกับด้วยทุกครั้งว่าทำไมลูกถึงได้ ทำไมถึงไม่ได้เพราะถ้าลูกเรียนรู้ที่จะได้อย่างเดียว ลูกจะไม่รู้จักความผิดหวังแต่ถ้าลูกเรียนรู้แต่ความผิดหวัง เขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “พอดี”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อพื้นฐานในการสอนลูกให้มีความน่ารักมายิ่งขึ้น ซึ่งพ่อแม่ต้องมีวินัยที่จะทำอย่างสม่ำเสมอ ลูกก็จะค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัวไปตามกติกามารยาททางสังคมได้ตามวัย และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ความรัก” ซึ่งพ่อแม่ต้องรักอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเป็นตัวอย่างที่ดีของพ่อแม่จะช่วยให้ลูกพัฒนาด้านอารมณ์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ที่มา:หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

โดยส่วนตัวแล้วพ่อปัน ปัน กับแม่ปัน ปัน จะใช้วิธีการวางเฉยเมื่อน้องปัน ปัน กรี๊ดและก็จะพูดกับน้องปัน ปัน ว่า “ไม่ดี นะลูก ปัน ปัน ต้องรู้จักรอ , หรือไม่ก็พูดกับน้องปัน ปัน ว่า ปัน ปัน ต้องการแสดงพลังเสียงใช่ไหมลูก” อีกวิธีที่พ่อปัน ปัน ทำเป็นประจำคือจะหันเหความสนใจ ไปหาอย่างอื่นๆ ที่น้องปัน ปัน ไม่ได้สนใจในขณะนั้น

พ่อแม่ท่านใดมีวิธีรับมือกับลูกน้อยในวัยกรี๊ด อย่างไรกันบ้างลองช่วยกัน Comment เข้ามานะครับ พ่อปัน ปัน จะได้นำไปปรับเปลี่ยนใช้กับน้องปัน ปัน ครับ


 Albert_Einstein

ช่วงนี้พ่อปัน ปัน กำลังเคียดเรื่องงานที่ทำอยู่ประจำ ซึ่งก็คงเหมือนๆ กับเพื่อนๆทั่วๆ ไปที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนครับ เลยปล่อยให้บล็อกลูกชายว่างเว้นไปหลายวันเลยที่เดียวครับ มาวันนี้หยิบหนังสือมาอ่านแล้วเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องของเด็กๆ ก็เลยหยิบมาเขียนครับ

สำหรับเด็กและความเป็นอัจฉริยะ การเพิ่มพลังสมองนั้น ความจริงแล้วเราควรเริ่มต้นตั้งแต่ในวัยเด็กครับ จากการศึกษาและวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่าถ้าเราส่งเสริมให้มีการพัฒนาสมอง “ซีกขวา” ของเด็กอายุตั้งแต่ 3-4 ปีขึ้นไปเขาก็จะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีมันสมองอันปราดเปรื่องได้ในที่สุด

การพัฒนาต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง เพราะสมองคนเรานั้นจะมีกลไกที่เหมือนกันคือ ในวัยเด็กเล็กสมองซีกขวาจะทำงานตามสัญชาตญาณก่อน เมื่อสมองซีกซ้ายเริ่มมีพัฒนาการขึ้น สมองซีกขวาก็จะเริ่มใช้งานน้อยลง

จะสังเกตได้ว่าเมื่อเราไปเรียนหนังสือ เราจะต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิชาสังคม ซึ่งจะเป็นการใช้สมองซีกซ้ายเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่การท่องจำต่างๆ สูตรต่างๆ ทางเคมี หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับความจำ ก็ล้วนแล้วแต่เป้นหน้าที่ของสมองซีกซ้ายทั้งสิ้นครับ

ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดคนเราจึงควรมีการเพิ่มพลังสมองซีกขวาควบคู่กันไปด้วยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ของตัวเราเอง และไม่ทำให้สมองซีกขวาถูกทิ้งจนฝุ่นจับด้วยนั่นเอง

สมองซีกขวาคนส่วนมากใช้ประโยชน์กับมันเพียงไม่ถึง 5 % เลยก็ว่าได้เพราะสมองซีกขวาจะควบคุมเกี่ยวกับการจินตนาการ งานดนตรี ศิลปะต่างๆ ความเฝ้อฝันต่างๆ แม้แต่การเล่านิทานก็ใช้สมองซีกขวานะครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนส่วนมากมองข้ามจุดนี้ไปครับ

สมัยนี้พ่อแม่ยุคใหม่พยายามเคี่ยวเข็นให้ลูกได้ทำกิจกรรมต่างๆ ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่ว่าจะพาไปเรียนพิเศษ หรืออื่นๆ ซึ่งก็เป็นเหมือนดาบสองคมนะครับ บางครั้งลูกๆ ของเราก็ต้องการพักผ่อนในวันหยุดกับพ่อแม่เหมือนกันนะครับ อยากเล่นตามวัยของเด็กๆ แต่พ่อแม่ก็ยังบังคับให้ต้องไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามคำสั่ง  ซึ่งเด็กๆ ก็เลยขาดความมั่นใจในตัวเอง เลยต้องรอทำตามคำสั่งอย่างเดียวเรียกได้ว่า “คิดไม่เป็น”

อีกหนึ่งมุมมองถ้าปล่อยให้เด็กๆ ได้คิดเองทำเองได้ใช้จินตนาการ และสามารถแสดงออกมาให้เราเห็นได้ เพียงแต่เราที่เป็นพ่อและแม่ต้องคอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปแทรกความคิดหรือจินตนาการของลูก (ตามความเหมาะสม) เด็กก็จะได้ใช้สมองซีกขวา และซีกซ้ายไปพร้อมๆกันได้ ซึ่งเป็นการพัฒนาสมองทั้งสองด้านครับ